Home ความรัก/ชีวิต อย่าให้ชีวิตคู่พัง เพราะคุณสร้างกำแพงแห่งทิฐิ

อย่าให้ชีวิตคู่พัง เพราะคุณสร้างกำแพงแห่งทิฐิ

หากยังรักกัน อย่าให้กำแพงแห่งทิฐิสูงกว่าความรักที่คุณมีให้แก่กัน

หลังจากแต่งงานได้2 ปี สามีก็บอกกับฉันว่าจะพาแม่มาอยู่ด้วย

สามีเหลือแม่เพียงคนเดียว พ่อของเขาจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก แม่เลี้ยงดูและส่งเสียเขาจบจนปริญญา หากไม่มีแม่ เขาคงไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
ฉันไม่ลังเล ตอบสามีไปว่า “ค่ะ”

ฉันเตรียมห้องฝั่งตะวันออกให้แม่ เผื่อแม่จะได้ปลูกดอกไม้ที่ระเบียง จะได้สูดอากาศยามเช้า และช่วงบ่ายห้องของแม่จะได้ไม่ร้อนจากแสงแดด
สามียืนมองฉันจากระเบียงห้อง ไม่พูดไม่จาอะไร เดินมากอดฉันและบอกว่า “ไปรับแม่กันเถอะ”

สามีเป็นคนรูปร่างสูง ฉันชอบซบหน้าที่อกของเขา รู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง เหมือนเด็กสาวที่ได้รับการปกป้องจากชายอันเป็นที่รัก นี่กระมังที่ทำให้ฉันรักสามีมาก

หลังจากแม่เข้ามาอยู่กับพวกเรา คงเป็นเพราะไม่คุ้ยเคยกับชีวิตคนเมือง จึงมักบ่นกับสามีบ่อยๆ

วันแรกที่ฉันซื้อดอกไม้มาปักแจกัน แม่ถามฉันว่ากำเท่าไหร่ ฉันบอกราคากึ่งหนึ่งของราคาจริงไป ก็โดนแม่ดุว่าสุรุ่ยสุร่าย เสียดายเงินตั้งมากมาย
ฉันบอกกับแม่ว่า “บ้านมีดอกไม้ อารมณ์แจ่มใสนะคะแม่”

แม่ได้แต่ก้มหน้าบ่นงืมงำ สามีเห็นเข้าก็หัวเราะและบอกกับแม่ว่า “มันเป็นวิถีชีวิตของคนเมืองครับแม่ เราไม่มีสวนให้ปลูกดอกไม้ แค่ได้แจกันดอกไม้สักอันประดับไว้ในบ้าน แค่นี้ก็สดชื่นแล้วครับ เดี๋ยวแม่ก็ชินไปเองแหละ”

แม่ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ก้มหน้างืมงำเหมือนเคย แต่ทุกครั้งที่ฉันซื้อดอกไม้มา แม่ก็ถามราคากับฉันเสมอ ฉันบอกไปก็โดนดุทุกที เวลาที่ซื้อของเข้าบ้าน แม่ก็สอบถามราคา และก็บ่นว่าใช้เงินเปลือง ไม่รู้จักอดออม สามีจับจมูกของฉันบิดไปมาแล้วพูดว่า “อย่าบอกราคาจริงให้แม่ล่ะ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับไปสามวันสามคืนนะ!” ฉันก็ได้แต่หัวเราะ

วันแห่งความสุขเริ่มน้อยลงไปเมื่อมีแม่สามีมาอยู่ด้วย แม่จะแสดงอาการไม่พอใจทุกครั้งที่สามีลุกขึ้นมาทำอาหารเช้า แม่บอกกับสามีของฉันว่า “ทำกับข้าวมันเป็นหน้าที่ของเมีย แต่แกกลับเป็นคนทำให้เมียกิน อย่างนี้มันถูกต้องเหรอ?”

ช่วงอาหารเช้าของวันนั้น แม่สามีทำสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉันก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แม่จึงใช้ช้อนจ้วงตักกับข้าวและกินข้าวด้วยการเอาช้อนกระทบกับชามด้วยเสียงอันดัง นั่นเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจของแม่ที่ฉันและสามีต่างก็รับรู้ได้

ฉันเป็นครูสอนเต้นในสถาบันศิลปะ ต้องสอนโหนเชือก สอนเต้นประกอบเพลง ฯลฯ ทำงานกลับบ้านมาก็เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่แม่ก็ใจดีอยู่นะ อยากช่วยทำงานบ้านบ้าง แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันลำบากใจ แม่ไม่ชอบใช้น้ำยาล้างจาน เนื่องจากได้ยินมาว่ามีสารพิษตกค้าง ส่วนนี้แหละที่ฉันต้องแอบมาล้างอีกรอบในตอนใกล้เข้านอน

คืนหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังล้างถ้วยชามอยู่เพลินๆ

เสียงตบประตูห้องครัวและเสียงของแม่ที่ตะโกนขึ้นว่า “เธอทำอะไรของเธอ เธอคิดว่าแม่ล้างถ้วยไม่สะอาดหรือ?” พูดเสร็จ แม่ก็วิ่งเข้าห้องและร้องไห้เสียงดังเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ สามีได้แต่มองฉันและห้องแม่ด้วยความไม่รู้ว่าจะปลอบใจใครก่อนดี

คืนนั้น สามีไม่ยอมพูดกับฉัน ไม่ว่าฉันจะอ้อนเขายังไง จั๊กจี๋เขายังไง เขาก็ไม่ยอมพูดด้วย ฉันเล่นจนรู้สึกโมโห จึงถามเขาเสียงดังว่า “อธิบายสิ ฉันทำผิดอะไร?”

สามีจ้องฉันแล้วพูดว่า “ยอมๆแม่ไม่ได้เหรอ จานชามไม่สะอาด ยังไงมันก็ไม่ทำให้คุณต-ายหรอก!” ฉันได้ฟังแล้วก็อึ้ง ไม่คิดว่าสามีจะพูดแรงอย่างนี้ จากนั้นเป็นเวลาหลายวันที่แม่ไม่ยอมพูดกับฉัน บรรยากาศของบ้านเริ่มอึมครึม ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สามีเหนื่อยใจเป็นที่สุด ไหนจะแคร์ความรู้สึกของแม่ ไหนจะแคร์ความรู้สึกของฉัน! เพราะแม่ไม่ยอมให้สามีทำอาหารเช้า แกเลยอาสาทำเอง

แม่ตักอาหารให้ลูกชายของตัวเอง ทั้งยิ้มทั้งพูดให้กินเยอะๆ พอละสายตาจากลูกชายมองมาที่ลูกสะใภ้อย่างฉัน สายตาประดุจสายฟ้าฟาดก็ผ่ามาที่ฉันเป็นช่วงๆ มันเป็นสายตาที่ตำหนิว่าเธอช่างเป็นเมียที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

เช้าวันต่อมา

ฉันบอกกับสามีว่ามีงานสอนด่วน เช้านี้ไม่อยู่ทานข้าวด้วย เพราะรีบไปสอน ที่จริงไม่ได้มีลูกศิษย์มาเรียนเช้าหรอก เพียงแค่ฉันไม่อยากถูกสายตาฟ้าพิฆาตผ่ามาที่ฉันเหมือนเมื่อวานก็แค่นั้นเอง ค่ำวันนั้น สามีพูดกับฉันว่าด้วยความโกรธนิดๆว่า

“คุณรังเกียจว่าอาหารฝีมือแม่ผมไม่สะอาดใช่หรือเปล่า ถึงไม่ยอมกินข้าวเช้า?” จากนั้นก็หันหลังให้ฉัน ฉันมองสามมีด้วยความน้อยใจ น้ำตาเจ้ากรรมก็หยดลงอาบแก้ม แล้วจู่ๆ สามีก็ถอนหายใจและพูดขึ้นว่า “กันยา ผมขอร้องนะ เห็นแก่ผมได้ไหม อยู่กินข้าวเช้าก่อนไปทำงานได้ไหม?” ฉันจึงรับปากว่า “ค่ะ” ด้วยน้ำตา

เช้าวันหนึ่ง ในขณะที่ฉันยกถ้วยข้าวต้มปลาขึ้นมาหมายจะซด กลิ่นคาวของปลาแทงเข้าจมูกอย่างจัง ฉันรีบวางถ้วยข้าวต้มแล้วเอามือปิดปาก
“อย่าอ๊วกเป็นเด็ดขาดนะกันยา” ฉันสั่งตัวเอง แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ฉันวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วก็อ๊วกออกมาด้วยเสียงอันดัง พออ๊วกจนหมดท้อง ฉันเห็นแม่สามีกำลังตำหนิและส่ายหน้าพร้อมกับร้องไห้ออกมาเหมือนจะน้อยใจอะไรสักอย่าง

สามีมองมาที่ฉันอย่างตำหนิ ฉันรู้สึกสะท้านในใจ “ฉันไม่ได้แกล้งๆ” ฉันพืมพำในใจ แม่สามีมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่โกรธ จากนั้นก็วิ่งออกไปข้างนอก สามีวิ่งตามแม่ของเขาไป

 

สามวันแล้ว ที่สามีไม่กลับบ้าน

แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ยอมโทรกลับมา ฉันเองก็โมโห ตั้งแต่แม่สามีมาอยู่ด้วย ฉันเองต้องยอมอดสูใจกี่ครั้ง? กี่เรื่อง? นี่จะเอายังไงกับฉันอีก? แต่ฉันกลับรู้สึกแปลกๆ มันรู้สึกหงุดหงิด ได้กลิ่นอะไรก็เหม็นไปหมด อยากอ๊วกไปหมด? หิวแต่ก็กินไม่ลง จนถูกเพื่อนที่สถาบันบอกว่า “หน้าเธอซีดเกินไปแล้วนะ เธอไปหาหมอดีกว่ามั้งกันยา เผื่อหมอจะได้วินิจฉัยโรคได้ถูก”

หลังตรวจเสร็จ คุณหมอก็ยิ้มให้กับฉัน “หมอดีใจด้วยนะ คุณกันยาตั้งครรภ์ได้เกือบสองอาทิตย์แล้วนะครับ” ฉันถึงบางอ้อ วันก่อนที่ฉันอ๊วก เป็นเพราะฉันแพ้ท้องนี่เอง ทำไมฉัน สามีและแม่สามีไม่คิดถึงสาเหตุนี้เลย?

ที่หน้าโรงพยาบาล ฉันเห็นสามีกำลังเดินลงจากรถ สามวันที่ไม่ได้เจอหน้ากัน เขาดูซูปผอมไปมาก เดิมทีฉันอยากหลบเขา แต่พอเห็นสภาพของเขาก็รู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ จึงตะโกนออกไปว่า “นิวัฒน์”

สามีมองมาตามเสียงเรียก เขาหยุดและมองฉันเหมือนคนไม่รู้จัก สายตาของเขาทำให้ฉันสะท้านวาบ ฉันบอกกับตัวเองว่า “ไม่ต้องสนใจๆ ” จากนั้นฉันโบกมือเรียกแท๊กซี่และรีบขึ้นรถ คุณรู้ไหม ฉันอยากตะโกนบอกสามีไปดังๆว่า “นิวัฒน์ ฉันท้องแล้วนะ”

ฉันกลับถึงบ้านแล้วล้มตัวนอนบนเตียง ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร วันที่น่ายินดีที่สุดของลูกผู้หญิง แต่ทำไมมันกลายเป็นวันโชคร้ายอะไรอย่างนี้ของฉัน วันนี้ สามีควรอยู่ข้างกายฉัน ควรเอาอกเอาใจฉันไม่ใช่หรือ? ฉันนอนกอดหมอนข้างร้องไห้จนหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้

ดึกคืนนั้น ฉันได้สิงเสียงกุกกักเหมือนคนกำลังดึงลิ้นชัก

พอเปิดไฟก็เห็นว่าสามีนั่งนับเงินและดูเหมือนเขาจะร้องไห้ไปด้วย ฉันได้แต่มอง ทิฐิทำให้ฉันไม่เอ่ยปากถามว่าเขาร้องไห้ทำไม? ส่วนเขาก็มองเหมือนไม่มีฉันอยู่ในห้อง หลังหยิบเงินและสมุดเงินฝากเสร็จ เขาก็ออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง “คิดจะแยกทางละสิ!” ฉันพูดขึ้น และก็หัวเราะเหมือนคนบ้าทั้งน้ำตา

วันรุ่งขึ้น ฉันตัดสินใจไม่ไปทำงาน อยากสงบสติอารมณ์ของตัวเองสักวัน หากไปทำงานวันนี้ฉันคงต้องทรุดแน่ๆ หลังทานข้าวเช้าเสร็จ ฉันจึงไปหาสามีที่บริษัท เลขาของเขามองฉันอย่างประหลาดใจ “คุณแม่ของคุณนิวัฒน์ถูกรถชน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลค่ะ คุณกันยาไม่ทราบเหรอคะ?”

ฉันตะลึงกับคำบอกของเลขา และรีบวิ่งออกจากบริษัทเพื่อตรงไปที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาล แม่สามีก็สิ้นใจเสียแล้ว สามีไม่ยอมมองหน้าฉัน สีหน้าของเขาเกรี้ยวกราด ฉันมองร่างอันไร้วิญญาของแม่สามีที่ซูบผอม เอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง

“แม่คะ หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้ แม่ยกโทษให้หนูนะคะ” ฉันไม่รู้จะขอโทษแม่สามียังไง หลังจากจัดงานศพของแม่สามี นิวัฒน์ก็ไม่พูดกับฉันอีกเลย แววตาที่มองมาก็มีแต่ความเกลียดชัง

ฉันได้ยินคนแถวบ้านบอกว่า แม่สามีวิ่งไปเรียกรถเพื่อจะไป บขส. พอเห็นว่าสามีของฉันวิ่งตาม แกก็วิ่งข้ามถนนจนถูกรถชน หากเช้าวันนั้นฉันไม่อ๊วก หากฉันไม่ทะเลาะกับสามี หาก…. ในความคิดของเขาฉันก็คือฆาตกรผู้ฆ่าแม่ของเขา เขากลับบ้านค่ำและดึกขึ้นทุกวัน เมื่อกลับถึงบ้านก็เข้าห้องแม่

ฉันอยากอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทำไมเช้านั้นฉันถึงอ๊วก

อยากบอกว่าฉันกำลังท้อง แต่เมื่อเห็นสายตาอันเย็นชาของเขา ฉันก็พูดไม่ออก ฉันยินดีให้สามีด่าว่าหรือทุบตีฉันเพื่อสลายความคับแค้นในใจเขา เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะฉันเสแสร้งแกล้งทำวันแล้ววันเล่า จากความรู้สึกผิดในใจ ก็กลายเป็นความเย็นชา เราสองคนกลายเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่บ้านเดียวกันแต่เหมือนคนไม่รู้จักกัน

ครั้งหนึ่ง ฉันเดินผ่านร้านฟาสฟูดส์ มองผ่านกระจกเห็นสามีนั่งอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง เขาพูดคุยและจับมือของหญิงสาวไปพลาง แค่นี้ฉันก็เข้าใจแล้ว
ฉันยืนนิ่งมองอยู่นาน แล้วก็เดินเข้าไปยังร้านอาหารนั้น จากนั้นเดินมายืนที่โต๊ะของพวกเขา ฉันมองสามีด้วยสายตาที่ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันไม่ได้รัก ไม่ได้เกลียด ไม่ได้โกรธ ฉันไม่รู้สึกอะไร และไม่รู้จะพูดอะไร หญิงสาวคนนั้นมองเขาทีและมองฉันที จากนั้นก็ลุกขึ้น สามีเห็นดังนั้นก็จับมือเธอและรั้งไว้

“อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไป” สิ้นเสียงของเขา น้ำตาของฉันก็หยดลงอาบแก้ม “มันจบแล้วสินะ ๆ” ฉันเดินออกมาอย่างคนไม่มีชีวิต หากยืนอยู่ตรงนั้นต่อ ฉันและลูกในท้องคงต้องล้มทั้งยืนเป็นแน่

ค่ำนั้น สามีไม่กลับมาบ้าน เขาคงใช้การกระทำบอกฉันว่า “หลังจากแม่ต-ายไป ความรักของเขากับฉันก็ต-ายจากกันเช่นกัน” เขาไม่กลับมาบ้านอีกเลย บางวัน ฉันเห็นความผิดปกติของบ้าน พอเปิดตู้เสื้อผ้าก็เป็นจริงอย่างที่คิด เขาแค่มาเอาเสื้อผ้าเท่านั้น

ฉันใช้ชีวิตเพียงลำพัง ไปหาหมอเอง ไปทำงานเอง ทำกับข้าวกินเอง ฯลฯ เพื่อนที่ทำงานบอกฉันว่า “เอาเด็กออกเถอะ” ฉันบอกว่า “ไม่” ลูกของฉันเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ผิดเพียงแค่ฉันมีเขาในช่วงที่ชีวิตดิ่งลงเหวสุดๆก็เท่านั้นเอง

ค่ำนั้น เมื่อฉันกลับถึงบ้าน 

ฉันเห็นสามีนั่งอยู่ที่โซฟา เขามองจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาประหลาดใจ ฉันเห็น เขาจ้องมองฉันไม่วางสายตา ฉันเองก็เหลือบมองดูเขาบ่อยๆ ฉันรู้สึกสับสน เขาเองก็คงเช่นกัน

ฉันถอดเสื้อคลุมแขวนไว้เผยให้เห็นท้องที่ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด “ห้ามร้องไห้เด็ดขาดนะกันยา” ฉันบอกกับตัวเอง ตอนนี้ดวงตาของฉันปวดร้าวไปหมด เนื่องจากกลั้นไม่ให้น้ำตามันไหล ฉันฝืนยิ้มให้เขา และเดินไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาเซ็นด้วยมือที่สั่นเทาและน้ำตาที่เอ่อล้นพร้อมจะหยดลงมา จากนั้นก็ยืน ให้เขา “กันยา คุณท้องเหรอ?”

นี่เห็นคำพูดประโยคแรกที่สามีพูดกับฉันหลังจากแม่เขาต-ายไป ฉันบังคับน้ำตาไม่ไหวแล้ว ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย “ใช่ค่ะ ฉันท้อง แต่คุณไม่ต้องห่วง ฉันอยู่ได้ คุณกลับไปเถอะ”

สามีไม่ยอมกลับไป เรานั่งอยู่ที่โซฟาเป็นนานสองนาน จู่ๆ สามีก็คุกเข่าและซบหน้าลงที่ท้องของฉันและร้องไห้ ฉันจำไม่ได้ว่าเขาพูดว่า “ผมขอโทษ ๆ” กี่สิบครั้ง

ฉันคิดว่าหากวันใดที่สามีกลับมาขอโทษ ฉันจะยกโทษให้เขา แต่วันนั้น ฉันกลับไม่เอ่ยคำว่ายกโทษให้เขาได้ยินแม้เพียงครั้งเดียว เพราะฉันจำสายตาอันเย็นชาที่ร้านฟาสฟูดส์นั้นได้ดี ฉันไม่มีทางลืม เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแม่เป็นเพราะฉันไม่ตั้งใจ แต่เรื่องราวของเขาที่ร้านฟาสฟูดส์ เขาตั้งใจ!

ทุกครั้งที่นึกถึงลูกในท้อง ใจฉันก็อ่อนลงเสมอ แต่พอเห็นหน้าของสามี กำแพงแห่งทิฐิมันก็เกิดขึ้น ฉันไม่กินอาหารที่เขาซื้อมาให้ ไม่เปิดของขวัญที่เขาซื้อมา ไม่พูดกับเขา หลังจากที่เซ็นใบหย่า ความรักมันก็ขาดสะบั้นไปตั้งแต่วันนั้น

บางครั้ง วันใดที่สามีกลับมาถึงบ้านก่อน เขาก็จะเข้าไปทำงานต่อในห้องของเรา เมื่อฉันเห็นดังนั้น ฉันก็ออกมานั่งๆนอนๆที่โซฟาในห้องรับแขก เมื่อเขาเห็นดังนั้น ก็ได้แต่กลับไปนอนที่ห้องแม่เหมือนเดิม

บางคืน ฉันได้ยินเสียงไอดังมาจากห้องของเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อน นี่เป็นอาการง้อเมียของเขาในวันที่เราทะเลาะกัน และฉันจะรีบหายาให้เขาทันทีถือเป็นการหายงอน แต่ในวันนี้ ฉันเลือกที่จะเงียบ เงียบแบบไม่รู้สึกอะไร?

ทุกคืน เสียงกดแป้นพิมพ์ดังมาเป็นระยะ และเสียงไอของเขาดังและหนักขึ้นทุกวัน ฉันคิดในใจ “คงคุยกับผู้หญิงทางเฟสแน่ๆ ดึกดื่นเช่นนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน” เขาซื้อข้าวของเตรียมให้ลูกมากมายจนจะเต็มห้อง ฉันรู้ เขาใช้วิธีนี้ง้อฉันและลูก แต่ใจของฉันมันต-ายด้านไปเสียแล้ว

แล้ววันที่ฉันคลอดก็มาถึง ฉันร้องไห้เสียงดัง

สามีรีบวิ่งออกมาจากห้องในสภาพเสื้อผ้าที่เตรียมพร้อม ฉันรู้ เขาเตรียมตัวรอวันนี้มาเป็นเดือนแล้ว เขาแทบจะแบกฉันออกจากห้อง หากไม่ติดที่ท้องโตฉันคิดว่าเขาคงอุ้มฉันไปแล้วเขาพยุงฉันมาขึ้นรถ จากนั้นก็จับมือฉันไว้ข้าง จับพวงมาลัยไว้ข้าง และหยิบทิชชู่เช็ดหน้าฉันเมื่อเห็นว่าเหงื่อชุ่มใบหน้า ฉันซบหน้าลงบนบ่าของเขาหลายครั้ง ใช่สิ ฉันโหยหาความรู้สึกนี้มานานแสนนาน ฉันรู้ เขายังรักฉันเหมือนเดิม ฉันสัมผัสได้ตั้งแต่เขารู้ว่าฉันท้อง เมื่อถึงโรงพยาบาล ก็พยุงฉันเข้าไปหาหมอที่ห้องฉุกเฉิน และตามฉันเข้าไปอยู่ในห้องคลอด

เมื่อคลอดเสร็จ คุณหมออุ้มลูกมาให้ฉันและสามีดู เราต่างก็ยิ้มให้กัน จู่ๆ สีหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มของเขา ก็กลายเป็นใบหน้าที่เจ็บปวด แล้วก็ล้มลงไปนอนกับพื้น คุณหมอบอกว่า “คุณรู้ใช่ไหมว่าสามีของคุณเป็นมะเร็งตับ”

“มะเร็งตับ” ฉันทวนคำของคุณหมอ “อ๊าว นี่คุณยังไม่ทราบเหรอครับ?” คุณหมอถาม “ไม่ทราบค่ะ เขาไม่เคยบอกดิฉันเลย” ฉันบอกหมอไปอย่างงงๆ
“เราตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งตับก็ตอนที่เขาเป็นในช่วงระยะสุดท้ายแล้ว อันที่จริงเขาไม่น่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้นะ นี่ถือเป็นปาฏิหารย์ด้วยซ้ำไป”

“คุณหมดตรวจเจอเมื่อไหร่เหรอคะ?” ฉันถาม “ประมาณ5เดือนที่แล้วครับ คุณมีญาติที่ไหนไหม เตรียมใจไว้ด้วยนะครับ”

นางพยาบาลอุ้มลูกสาวของเราพาฉันไปยังห้องไอซียูที่เขานอนอยู่ ฉันกลั้นน้ำตาเอามือลูบใปที่ใบหน้าของเขา “นิวัฒน์ ฉันพาลูกมาหาคุณแล้วนะ สู้ต่อไปได้ไหมนิวัฒน์ สู้เพื่อลูกและฉัน ลืมตาสินิวัฒน์”

ฉันเขย่าเขาแรงขึ้นจนนางพยาบาลเข้ามาห้าม และวางลูกสาวของเราไว้ที่อกของเขาแล้วจับมือของเขาโอบลูกสาวตัวน้อยไว้ เขาลืมตาด้วยความยากลำบาก ฝืนยิ้มให้ฉันและเหลือบมองดูลูก จากนั้นเสียงสัญญาณเครื่องวัดหัวใจก็ดังติ๊ด

เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันเดินตรงไปที่ห้องของเขา

เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ ก็เห็นโฟลเดอร์หนึ่งที่เขียนว่า “ถึงลูกรักของพ่อ” เมื่อฉันเปิดอ่าน

“ลูกรัก เพื่อลูก พ่อจะอดทนจนถึงที่สุด การอยู่เพื่อจะได้เห็นหน้าของลูกเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ต่อให้พ่อต้องต-ายในวันที่ได้เห็นหน้าลูก พ่อก็ดีใจที่สุดแล้ว
พ่อรู้ ลูกจะเติบโตมาท่ามกลางความสุขและความทุกข์ หากพ่อมีชีวิตอยู่เป็นเพื่อนลูกได้คงจะเป็นความสุขไม่น้อย แต่มันเป็นไปไม่ได้ พ่อไม่มีโอกาสนั้นแล้ว พ่อพิมพ์สิ่งที่ลูกอาจต้องพบเจอไว้ในคอมนี้ วันใดที่ลูกพบเจอกับปัญหา จงเปิดอ่านในสิ่งที่พ่ออยากจะแนะนำ… รักแม่ของลูกให้มากนะ แม่ของลูกลำบากมามาก และรักลูกมากที่สุด และเป็นคนที่พ่อรักมากที่สุดในชีวิต “

ฉันอ่านจดหมายของเขาด้วยน้ำตา และก็ต้องแปลกใจ เมื่อในโฟลเดอร์นั้นมีข้อความถึงฉันอยู่ฉบับหนึ่ง

“กันยา การได้คุณมาเป็นคู่ชีวิตคือความโชคดีที่สุดในชีวิตของผม ยกโทษให้ผมนะ ยกโทษให้ความงี่เง่าของผม ยกโทษที่ผมปิดบังคุณในเรื่องโรคร้ายที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ผมอยากให้คุณสดใสจนกว่าจะคลอดลูก กันยา หากคุณร้องไห้ นั่นแปลว่าคุณได้ให้อภัยผมแล้ว และผมก็จะยิ้มด้วยความดีใจ ขอบคุณนะที่คุณรักผม ของขวัญที่ผมเตรียมไว้ ผมเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้มอบให้กับลูกด้วยตัวเอง รบกวนคุณมอบให้แกเนื่องในโอกาสต่างๆ ผมเขียนกำกับไว้บนกล่องแล้วนะ ….”

หากคุณกำลังรักใครสักคนจนอยากจะสร้างครอบครัวกับเขา หากคุณกำลังสร้างชีวิตคู่ด้วยความยากลำบาก หากคุณกำลังสร้างกำแพงแห่งทิฐิกับคู่ชีวิต

คุณรู้ไหม การสื่อสารและการพูดคุยเป็นสิ่งที่สำคัญ หากยังรักกัน อย่าให้กำแพงแห่งทิฐิสูงกว่าความรักที่คุณมีให้แก่กัน

 

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ จาก นุสนธิ์บุคส์

Thank you photo by pexels, unsplash

Load More Related Articles
Load More By getwellxoxo
Load More In ความรัก/ชีวิต
0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments

Check Also

วิธีสังเกต ผู้หญิงกำลังนอกใจ

5 อาการบอกว่า ผู้หญิงอาจกำลังนอกใจ สำหรับผู้ชายที่กำลัง … …