Home ความรัก/ชีวิต จงมองเห็นคุณค่าของตัวเอง

จงมองเห็นคุณค่าของตัวเอง

ก่อนที่จะขอให้ใครมารักคุณ คุณรักตัวเองหรือยัง

คนที่มั่นใจในตัวเอง คือคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวเอง คนที่มีความสุขกับการใช้ชีวิต คือคนที่มองเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ไม่มีชีวิตใครที่ไม่มีปัญหา แต่ไม่มีปัญหาไหนที่เจ็บปวดได้เท่ากับการมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง…เคยได้ยินหลายๆคนบ่นว่า อกหัก รักคุด ถูกนอกใจ ทำไมคนนั้นถือมองไม่เห็นคุณค่าของเรานะ

บางครั้งเราก็ลืมไป ลืมเอาใจใส่กับตัวเอง เพราะมัวแต่ไปสนใจคนอื่น มองคนอื่น หรือแม้กระทั่งเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นแล้วรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นอย่างนั้นอย่างนี้ ความรู้สึกพวกนี้มันก็ก่อตัวขึ้นมาของมันเอง จนเราไม่รู้ตัวแล้วก็ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ จนทำให้เรามองเห็นตัวเองไม่มีคุณค่าไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว…บางครั้งเราอาจจะเอาใจใส่กับสิ่งรอบตัวมากจนลืมคิดถึงความรู้สึกของตัวเราเอง ลืมนึกถึงว่าเราเองก็ต้องการความรักจากตัวเองบ้างเหมือนกันนะ

ถ้าใครที่รู้สึกท้อแท้ ถ้าใครที่รู้สึกว่าตัวเองหมดหวัง…ถ้าใครที่รู้สึกอ่อนแอ ต้องการความรัก ต้องการการเอาใจใส่ ต้องการเติมพลังให้กับชีวิตของตัวเองแล้วล่ะก็…ได้เวลาหันกลับมามองตัวเอง รักตัวเอง และเอาใจใส่ตัวเราเองกันแล้วค่ะ

เรื่องก็คือ คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองกำลังเป็นคนที่มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองอยู่? คุณรู้หรือเปล่าว่าการมองเห็นคุณค่าของตัวเองเป็นอย่างไร?

สแตนลี เจ. กรอส กล่าวว่า การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง จะตอบคำถามที่ว่า “คุณรู้สึกอย่างไรกับการเป็นตัวของตัวเอง?” เราเรีียนรู้การมีคุณค่าของตัวเราเองจากครอบครัวของเราได้ แต่เราไม่สามารถที่จะสืบทอดสิ่งเหล่านี้ได้

ความรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ การมองเห็นคุณค่าในตัวเองในภาพรวมนั้น คือความรู้สึกที่ว่า “เราคือใคร” เป็นความรู้สึกทั่วไปที่มักจะไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ความรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองในลักษณะที่ว่า “เราได้ทำอะไรลงไปบ้าง” เป็นสิ่งที่ไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บทบาทหน้าที่ และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ดังนั้น คุณค่าของตัวเองตามสถานการณ์นี้บางครั้งมันก็สูงมาก และบางครั้งมันก็สามารถต่ำเตี้ยเรียดินได้เช่นกัน

เช่นบางคนอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในที่ทำงาน ม่ีลูกน้องมากมาย ความตระหนักถึงคุณค่าต่อตัวเองในที่ทำงานก็อาจจะสูงตามไปด้วย แต่พอกลับบ้านแล้วอาจจะกลัวภรรยา พอถูกภรรยาบ่นว่า ก็อาจจะรู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองในบ้านต่ำก็เป็นได้…ว่าโดยทั่วไปแล้ว การมองเห็นคุณค่าของตัวเองนั้น คือการรับรู้ถึงตัวเองจากการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตัวเรามุ่งหวังว่ามันเป็นไปตามที่เราตั้งใจไว้หรือไม่ ซึ่งการรับรู้นี้จะนำไปสู่การประเมินคุณค่าในตนเอง และทำให้แต่ละคนเห็นคุณค่าของตัวเองในระดับที่แตกต่างกันออกไป

แล้วคนอย่างไรที่เรียกว่าเป็น…พวกที่มองเห็นคุณค่าของตัวเองสูง? คนเหล่านี้จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ค่ะ

พวกเขาจะรู้สึกถึงความสามารถของตัวเอง และรู้ว่าความสามารถนั้นสามารถมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้ ดังนั้นพวกเขามักจะเป็นพวกที่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองสูง และมีความภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะตรงกันข้ามก้บคนที่มีพฤติกรรมมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง คนเหล่านี้มักจะชอบพิสูจน์ตัวเองด้วยการดูถูก หรือเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น พวกเขามักจะไม่กล้าทำอะไรเนื่องจากกลัวความล้มเหลวและกลัวคนอื่นวิจารณ์เอา หรือบางคนก็จะเป็นคนที่ดูมั่นใจในตัวเองสูงมากจนกลายเป็นคนที่หยิ่งยะโสและไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นไปเสียอย่างนั้น

การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง จะประกอบไปด้วยความตระหนักรู้อยู่ 2 ประการหลักๆ ก็คือ

1 การตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเอง เรียกว่าเป็นคนที่เคารพตัวเองสูง เชื่องว่าตัวเองมีคุณค่า มีความหมาย มีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับผู้อื่น ไม่ใช่แค่เคารพตัวเองเท่านั้น แต่พวกเขายังเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้อื่นด้วยเช่นกัน

2 มีความตระหนักรู้ในความสามารถของตัวเอง เชื่อว่าตัวเองเป็นคนที่สามารถเรียนรู้และเติบโตได้ กล้าตัดสินใจและกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆในชีวิต พวกเขาจะเชื่อตัวเองเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ พึ่งพาตนเองได้ จนไปถึงกระทั่งสามารถเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้ และข้อนี้ยังทำให้พวกเขาเป็นคนที่มักจะมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ

ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรต่อตัวเองอยู่ในขณะนี้ก็ตาม แต่ขอให้เราระลึกไว้ข้อหนึ่งว่า คนทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ดังนั้นถ้าวันนี้เราพบว่าเราเป็นคนที่มองเห็นคุณค่าในตัวเองสูงอยู่แล้ว นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีค่ะ ขอให้รักษามันไว้ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันหมด และอย่างที่บอกไปแล้วว่า การมองเห็นคุณค่าตัวเองแบบทั่วไปนั้นมักจะคงที่ แต่การมองเห็นคุณค่าของตัวเองตามสถานการณ์นั้นมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไปตามสถานะการณ์ เช่นว่า เราเป็นคนมั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว แต่บังเอิญวันนี้มีใครสักคนทักขึ้นมาว่า เธอดูอ้วนขึ้นนะ  สถานการณ์นี้ก็อาจทำให้เราจิตตกชั่วขณะก็เป็นได้

สำหรับใครที่แอบรู้สึกน้อยใจตัวเองบ่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีค่า น้อยเนื้อต่ำใจอยู่ลึกๆ หรือใครที่คิดว่าตัวเองมั่นใจอยู่แล้ว แต่อยากฝึกตัวเองให้แกร่งมากขึ้น เสริมสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเอง ตามที่แฮนริก เอ็ดเบิร์ค กันค่ะ

วิธีที่ 1 ฝึกเฝ้าสังเกตใจตัวเอง

แทนที่เราจะมัวไปเฝ้าสังเกตคนอื่นว่าเขาเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ แล้ววิพากษ์วิจารณ์เขาไปต่างๆนานๆ เราลองใช้เวลาเหล่านั้นมาเฝ้าสังเกตใจตัวเองแทน เรียกว่ามีสติอยู่กับความคิดของตัวเอง เช่นเรากำลังมองใครอยู่ เห็นเขาแล้วเราคิดอย่างไรกับเขา ถ้าเราสังเกตใจตัวเอง เราก็จะเริ่มรู้ตัวว่า ตอนนี้จิตเรากำลังปรุงแต่เรื่องของคนอื่นอยู่นะ

วิธีที่ 2 หยุดวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง

ไม่มีที่ไหนที่จะเริ่มต้นปลูกฝังการมองเห็นคุณค่าในตัวเองได้ดีไปกว่าตัวเราเองอีกแล้ว…เรื่องแปลกแต่จริงก็คือ คนเรามักจะมีเสียงเล็กๆ ที่คอยพูดคอยถากถางตัวเองอยู่ได้ตลอดเวลา เสียงเล็กๆที่ทำให้ตัวเองมองเห็นค่าตัวเองน้อยลงไป เช่น

“ฉันมันไม่เอาไหน”
“ฉันคงสู้เขาไม่ได้”
“ฉันอ้วนเกินไป”
“ฉันผอมเกินไป”

แน่ล่ะว่ามันเป็นความคิดของเราเอง แต่เราสามารถที่จะไม่ต้องไปยอมรับความคิดเหล่านี้ก็ได้ เพราะว่าเรา “เลือกได้” บอกตัวเองว่า “ฉันเลือกได้” เลือกที่จะเอาความคิดนี้มาบั่นทอนตัวเองหรือ เลือกที่จะปล่อยความคิดนี้ให้หายไป หรือถ้าเรารู้ตัวว่าเรารู้ตัวว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น กำลังวิจารณ์ตัวเองในทางที่ไม่ดีอยู่ เราก็แทนสามารถที่จะแทนที่ความคิดเหล่านั้นได้ หรือเปลี่ยนเรื่องคิดไปเลยก็ได้ พอรู้ตัวปุ๊บว่ากำลังวิจารณ์ตัวเองอยู่นะ ก็เปลี่ยนเรื่องคิดไปเป็น คิดเรื่องว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี คืนนี้จะอ่านหนังสือเล่มไหนดี พรุ่งนี้จะไปออกกำลังกายที่ไหนดี อย่างนี้เป็นต้น เห็นไม๊คะว่า เราควบคุมความคิดของเราได้

วิธีที่ 3 คอยย้ำเตือนตัวเองแต่เรื่องดีๆ

เรื่องง่ายๆ แต่ทรงพลัง ลองเขียนข้อความดีๆ เกี่ยวกับตัวเอง หรือข้อความอะไรที่สามารถจูงใจและใช้เป็นแรงบันดาลใจเราได้ ติดไว้ตามที่ต่างๆที่เราเห็นได้ง่ายๆ เพื่อคอยย้ำเตือนตัวเองให้คิดถึงแต่เรื่องดีๆค่ะ

วิธีที่ 4 คือการโฟกัสถึงแต่สิ่งที่เราชอบทำ

อะไรที่เราทำแล้วรู้สึกดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่ากำลังไม่มีความสุข หรือรู้สึกแย่ๆ ลองถามตัวเองดูว่า “ฉันกำลังทำในสิ่งที่ฉันอยากทำจริงๆอยู่หรือเปล่า?” “ฉันกำลังทำในสิ่งที่ฉันชอบจริงๆอยู่หรือเปล่า?”
ยิ่งเราฝึกฝนที่จะโฟกัสแต่สิ่งดีๆ และสิ่งที่เราชอบแล้ว เมื่อเราทำไปเรื่อยๆ มันจะกลายมาเป็นนิสัยของเราในที่สุด นิสัยของคนมองโลกในแง่ดีค่ะ

วิธีที่ 5 คือ ชื่นชมตัวเอง

เรื่องง่ายๆ สนุก และใช้เวลาแค่เล็กน้อยเท่านั้น ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามตัวเองด้วยคำถามที่ว่า “บอกข้อดีของตัวเองมาซัก 3 ข้อสิ อะไรกันที่ฉันรู้สึกชื่นชมในตัวเอง” ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรค่ะ เราสามารถชื่นชมตัวเองได้ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเลยทีเดียว ยิ่งเรารู้จักชื่นชมตัวเองมากเท่าไหร่ ความรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นด้วย

วิธีที่ 6 ขอบคุณตัวเอง

คุณคือคนสำคัญที่สุดที่คุณไม่ควรจะลืมที่จะขอบคุณ ลองนึกถึงสิ่งดีๆในชีวิต นึกถึงความสำเร็จใดๆที่เกิดขึ้นในชีวิต สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าปราศจากตัวคุณเองเป็นคนลงมือทำ ลองนึกดูว่า อะไรที่คุณรู้สึกภูมิใจ จากนั้นก็ให้ขอบคุณตัวเอง เช่นว่า

ขอบคุณตัวฉันเองที่ขยันทำงาน ที่วันนี้มีกินมีใช้ก็เพราะความขยันทำงานของฉันนี่เอง ขอบคุณนะ
ขอบคุณตัวฉันเองที่ชอบอ่านหนังสือ ฉันรู้อะไรมากมายในทุกวันนี้ก็เพราะฉันชอบอ่านหนังสือนี่ล่ะ ขอบคุณนะ
ขอบคุณตัวฉันเองที่ขยันออกกำลังกาย ฉันมีร่ายกายสมบูรณ์แข็งแรงก็เพราะฉันขยันออกกำลังกายนี่แหละ ขอบคุณนะ

จะพูดกับตัวเองหน้ากระจกก็ได้ค่ะ หรือว่าจะเขียนลงไปในกระดาษก็ยิ่งดีเลยค่ะ เขียนไว้แล้วติดตัวไปด้วยนี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย เพราะเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกแย่ๆ นึกอะไรไม่ออก เราสามารถหยิบกระดาษที่เราเขียนขอบคุณตัวเราเองมาอ่าน มันก็จะทำให้เรานึกขึ้นได้เมื่อนั้นว่า เราเองก็มีสิ่งดีๆที่น่าขอบคุณอยู่นะ

วิธีที่ 7 จัดการกับปัญหา ความผิดพลาดและความล้มเหลวด้วยแนวคิดในแง่บวก

หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ว่า “จน เครียด กินเหล้า” ซึ่งผลของมันก็คือ ยิ่งทำให้จนขึ้น เครียดขึ้น และกินเหล้ามากขึ้น วิธีการจัดการกับปัญหาในแง่บวก ก็คือการเปลี่ยนเป็นคำว่า “จน คิด ทำงาน” แทนนั่นเอง

เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มออกจาก comfort zone หรือโซนสบายของเราเพื่อที่จะริเริ่ม สร้างสรรค์ หรือทำอะไรใหม่ๆ เพื่อความสำเร็จที่มันมากขึ้น มันเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่เราจะพบเจอกับอุปสรรค์และปัญหาร้อยแปดพันประการ แต่อย่าลืมว่า ไม่มีใครไม่มีปัญหา

จงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวคุณเอง ลองคิดดูว่า ถ้าเราเป็นพ่อแม่ หรือเพื่อนของเรา เราจะปลอบใจคนที่กำลังเกิดปัญหานี้อย่างไร? หรือไม่ก็ลองคิดว่าคุณเป็นตัวคุณอีกคนหนึ่งที่กำลังนั่งคุยกับตัวเอง แยกอีกตัวตนออกจากปัญหานั้น แล้วลองนึกว่า ถ้านี่มันไม่ใช่ปัญหาของเราเอง เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ และมองปัญหาให้เป็นโอกาส ตกงานเหรอ? ดีเลยอยากลาออกมาตั้งนานจะได้ไปทำธุรกิจที่อยากทำซะที อกหักเหรอ? ดีเลย จะได้ไปหาคนใหม่ที่ดีกว่านี้ หรือไม่ก็…ดีเลย จะได้ไม่มีใครมาคอยห้ามโน้นห้ามนี่ให้รำคาญใจ โดนคนด่าเหรอ? ดีเลย จะได้รู้ว่าเราต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง

ยิ่งเราฝึกฝนให้มองโลกในแง่ดีมากเท่าไหร่ ใจเราก็จะยิ่งแกร่งขึ้นเท่านั้น เหมือนกับที่หนังสือเรื่อง “ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” เคยว่าไว้ว่า ถ้าวันนี้ใจเรามันแกร่งระดับ 5 แล้วไปเจอปัญหาระดับ 6 เราก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราผ่านปัญหาระดับ 6 ไปได้แล้ว ใจเราก็จะแกร่งระดับ 6 วันไหนที่เจอปัญหาระดับ 2 คุณจะเห็นว่าปัญหานั้นมันกระจอกมากๆ ทั้งๆที่แต่ก่อนตอนเจอปัญหานั้นเป็นทุกข์เป็นร้อนจะเป็นจะตายมาแล้ว หรือต่อให้เจอปัญหาระดับ 6 อีก คุณก็จะรู้แล้วว่าจะแก้ปัญหานั้นอย่างไรดี และทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

วิธีที่ 8 จงทำดีต่อผู้อื่น

เคยได้ยินประโยคนี้หรือเปล่าคะว่า “จงเกรงใจตัวเองให้เสมอกับเกรงใจผู้อื่น และจงดูแลใจผู้อื่นในเสมอกับดูแลใจตัวเอง” แต่เดาว่าหลายๆคนน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ความเกรงใจ เป็นสมบัติของผู้ดี” มากกว่า ซึ่งก็จริงค่ะ คนเราควรจะมีความเกรงใจ แต่มันควรเป็น “ความเกรงใจ ซึ่งกันและกัน” เกรงใจผู้อื่นนั้นดีแล้ว แต่หลายต่อหลายคนที่มักจะลืมเกรงใจตัวเอง

ตัวอย่างง่ายๆ ของคนขี้เกรงใจเช่น เพื่อนชวนสูบบุหรี่ แล้วเกรงใจเพื่อน ก็เลยสูบ สุดท้ายกลายเป็นติดบุหรี่ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราเห็นว่าอะไรไม่เหมาะไม่ควร เราก็ต้องยอมที่จะปฏิเสธ บ้าง เพื่อเห็นแก่ตัวเอง เกรงใจตัวเราเองด้วย ส่วนที่ว่าให้ดูแลใจผู้อื่นเสมอกับดูแลใจตัวเอง ก็ลองนึกว่า เราอยากให้ใครปฏิบัติกับเราอย่างไร เราก็ควรปฏิบัติกับผู้อื่นแบบนั้นเหมือนกัน ทำดีต่อผู้อื่นตั้งแต่เรื่องง่ายๆ อย่างเช่น

เปิดประตูค้างไว้ให้คนต่อไปที่กำลังเดินเข้าประตูมา
เป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้คนอื่นได้พูดบ้าง
เห็นเพื่อนบ้านขนของหนัก เราอาจจะอาสาช่วยยกด้วยอีกแรง
ช่วยเข็นรถเสียเข้าข้างทาง
หรือง่ายกว่านั้นเช่น ยิ้มให้คนอื่นด้วยความจริงใจ กล่าวทักทายด้วยคำสุภาพ พูดขอบคุณเวลาที่ใครทำอะไรดีๆต่อเรา อย่างนี้เป็นต้น

ยิ่งเราสามารถทำดีต่อผู้อื่นได้มากเท่าไหร่ เราจะยิ่งรู้สึกดีต่อตัวเองมากเท่านั้น ความรู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่าก็จะมากขึ้นไปด้วยค่ะ

วิธีที่ 9 ลองหาอะไรใหม่ๆทำ

ออกมาจาก comfort zone ของตัวเองบ้าง หาอะไรใหม่ๆทำ หาอะไรที่รู้สึกท้าทายตัวเองทำ ถ้าอยากรู้ว่าชีวิตที่ออกจาก comfort zone เป็นอย่างไร แนะนำให้ลองดูหนังเรื่อง Yes Man ที่พูดถึงเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องตอบรับทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตของเขา เรื่องราวสนุกๆเลยเกิดขึ้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราลองทำอะไรใหม่ๆ ความกลัวย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาค่ะ แต่ถ้าเราลองทำไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกเคยชิน และมันก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเราไป

เรื่องง่ายๆอย่างเช่น ไปดูหนังคนเดียว ถ้าใครที่เวลาไปดูหนังในโรงหนัง ต้องไปกับเพื่อน ไปกับแฟน หรือไปกับใครสักคนหนึ่งตลอด พอต้องไปคนเดียวครั้งแรกก็จะรู้สึกแปลกๆหน่อย แต่พอเราทำไปแล้วเราจะรู้ว่า จริงๆ การไปดูหนังคนเดียวก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เช่น ไม่ต้องรอใครอยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ เลือกที่นั่งที่เราชอบได้ง่ายๆ เลือกหนังที่เราชอบดูได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร เลือกเวลาที่เราสะดวก อย่างนี้เป็นต้น

วิธีที่ 10 เลือกอยู่กับคนที่ให้กำลังใจเรา และหลีกเลี่ยงการใช้เวลากับคนที่บ่อนทำลายความรู้สึก

เรามีความฝัน เรามีเป้าหมาย แต่ถ้าเรามัวใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับคนที่คอยบอกเราว่า เธอทำไม่ได้หรอก มันยากเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ใจเราแกร่งแค่ไหน มันก็มีหวั่นไหวกันบ้าง ดังนั้นถ้าเลือกได้ ก็จงใช้เวลาอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกดี รู้สึกมีกำลังใจที่จะก้าวต่อไปให้ถึงฝัน แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่มีใครที่ให้กำลังใจได้ อีกวิธีก็คือการอ่านเรื่องราวดีๆ หรือฟังเรื่องราวดีๆ ที่ทำให้รู้สึกดี รู้สึกมีพลังที่จะทำตามความฝัน และทำให้รู้สึกดีต่อตัวเองค่ะ

วิธีที่ 11 จำไว้เสมอว่าทำไม เราจึงต้องเห็นคุณค่าในตัวเอง

ทำไมเราถึงต้องทำอะไรต่อมิอะไรให้มองเห็นคุณค่าของตัวเอง อย่ารอให้ใครมาเห็นคุณค่าของเรา แต่จงมองเห็นคุณค่าในตัวเอง รักตัวเองให้มากพอ ทำดีต่อตัวเอง และดูแลตัวเองให้ดีพอ แล้วคุณจะไม่ต้องร้องขอความรัก ความเห็นใจจากใครค่ะ

วันที่ผ่านไปแล้วให้แล้วมันไป ถ้ามัวแต่เสียดายวันเก่าๆ เราก็กำลังทำลายวันเวลา ณ ปัจจุบันลงไปทุกขณะที่ใช้ไปในการเสียดายนั้น เหมือนอย่างที่ มาเรีย โรบินสัน ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ไม่มีใคร ย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้หรอก แต่ทุกๆคน สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ในวันนี้ และสร้างตอนจบใหม่อย่างที่ใจต้องการ”

ใครคิดกับคุณอย่างไร ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณคิดอย่างไรกับตัวเองค่ะ
วันนี้…คุณบอกรักตัวเองแล้วหรือยัง?  ถ้ายังก็บอกได้ตอนนี้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ

 

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ จาก OKnation

Thank you photo by pexels, unsplash

Load More Related Articles
Load More By getwellxoxo
Load More In ความรัก/ชีวิต
0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments

Check Also

วิธีสังเกต ผู้หญิงกำลังนอกใจ

5 อาการบอกว่า ผู้หญิงอาจกำลังนอกใจ สำหรับผู้ชายที่กำลัง … …