
หากน้ำตาลก็ยังว่าขม ลองคิดดูว่าจะทำอย่างไร
คงไม่มีใครอยากให้ความรักของตนและคนรักจืดจางลง แต่ความเป็นจริงที่สะเทือนใจคนมาตลอดประวัติศาสตร์ ก็คือ ความรักนั้นจืดจางลงได้ และจืดจางมาแล้ว และจะยิ่งจืดจางลงไปอีกในยุคสุดท้าย ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มีคำทำนายไว้ตั้งแต่ 2000 ปีก่อนว่า ในยุคสุดท้ายนี้ ความรักของเราที่มีต่อกัน จะจืดจางหรือเยือกเย็นลง
“ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป” (มัทธิว 24:12)
สุนทรภู่เอง ก็เข้าใจสัจธรรมนี้ดี จึงได้ประพันธ์บทกลอนสอนใจไว้ว่า
“เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก
แม้แต่น้ำต้มผักขมชมว่าหวาน
ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน
แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล”
เมื่อความรักของเพื่อนรัก หรือคู่รักคู่อื่น ๆ ที่มีต่อกันจืดจางลง คุณอาจไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่หากว่าความรักที่คนรักของคุณมีต่อคุณจืดจางล่ะก็ รับรองได้เลยว่า คุณจะนั่งไม่ติด แน่นอนว่าคนที่กำลังดื่มด่ำอยู่ในห้วงของความรัก คงไม่มีใครนึกหรือคิดเลยว่า รักที่หวานซึ้งของพวกเขาในวันนี้จะจืดจางลงในวันหน้า
ตอนที่ยังไม่แต่งงานกัน คู่รักบางคู่ถึงกับไปเปิดบัญชีธนาคารร่วมกัน บางคู่ไปซื้อบ้านซื้อสิ่งของโดยใช้นามร่วมกัน และบางคู่ถึงกับลงทุนในกิจการหรือธุรกิจบางอย่างร่วมกัน แต่หลังจากรักสะดุด หรือ จืดจางลง ปัญหาก็เริ่มตามมา ปมที่ร่วมกันผูกในยามรักเข้มข้น เริ่มเป็นอุปสรรคบีบรัดในยามที่รักเจือจางลง..
หากว่าคุณเผชิญกับวิกฤตรักเช่นนี้ คุณจะทำอย่างไร ? คุณรับมือไหวหรือไม่ ?
แท้จริงแล้ว เรื่องนี้เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ ! ตอลสตอย นักประพันธ์รัสเซียชื่อก้องโลก เคยเขียนไว้ว่า “ที่จะบอกว่าคุณสามารถรักใครคนหนึ่งได้ตลอดชั่วชีวิตของคุณนั้น ก็เหมือนกับพูดว่า เทียนไขเล่มหนึ่งจะยังคงส่องแสงได้นานแสนนานตราบเท่าที่คุณมีชีวิตอยู่”
ใช่ครับ เหมือนแสงไฟแห่งเทียนไขที่ใช้งานมานาน ย่อมจะค่อย ๆ มอดดับลง ยกเว้นแต่ว่า คุณจะเอาใจใส่ และต่อเติม ติดไฟด้วยเทียนเล่มใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ขาดตอน ความรักของคุณก็เช่นกัน จะไม่มีวันจืดจางหรือมอดดับ หากคุณหมั่นทะนุถนอมต่อเติมไฟรักนั้นอยู่เสมอไป
วันนี้ คุณต่อเติมความรักของคุณแล้วหรือไม่ ?
ความรัก…เปรียบเหมือนไฟที่มอดดับได้
เชื้อไฟเติมรักเห็นจะมี 2 ประการ คือ ความสัตย์ซื่อ และ การดูแลเอาใจใส่
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ โดย อ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์
Thank you photo by pexels, unsplash